BACK

เอกเขนก กุลเดช

ดร. กุลเดช สินธวณรงค์ หนึ่งในผู้นำที่มีความคิดที่น่าสนใจและการดำเนินงานที่น่าจับตามองของวงการสถาปัตยกรรม และสถาปัตยกรรมภายในที่สุดคนหนึ่งในเวลานี้

กุลเดช เป็นกรรมการผู้จัดการ ของ กลุ่มบริษัท จาร์เค็น จำกัด ที่สามารถต่อยอดและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานเดิมของบริษัทออกแบบสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมภายใน งานตกแต่ง ก่อสร้างมาสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาแบรนด์สินค้าและบริการ และการประชาสัมพันธ์ จนกลายมาเป็นผู้นำด้านการออกแบบอย่างครบวงจรที่สุดของไทยด้วยเวลาเพียง 12 ปี แม้การแข่งขันจะสูง แต่ด้วยความเชื่อมั่นและความคิดขบถที่เป็นคาแรกเตอร์ส่วนหนึ่งของเขา ที่นำพาให้กุลเดชได้ลองทำอะไรใหม่ๆ และกล้าฉีกความคิดให้แตกต่างจากกลุ่มธุรกิจเดียวกัน ซึ่งทำให้ได้รับรางวัล Asia Pacific Entrepreneurship Awards 2014 Thailand ประเภท Most Promising Entrepreneurship Awards ในฐานะผู้บริหารธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์และผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รับผิดชอบต่อสังคม และพร้อมนำพาองค์กรไปสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจ

กุลเดช มาจากครอบครัวโบราณที่รุ่นปู่ย่าตายายปลูกฝังว่าการเรียนหนังสือสำคัญที่สุด ต้องขยันและตั้งใจเรียน แต่เพราะความไม่แน่ใจในสมัยนั้นว่าตัวเองชอบอะไร ก็เลยเลือกวิศวโยธา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพราะดูติดดินดี ดูสนุก อีกทั้งได้ไปค่ายอาสา ได้สัมผัสชาวบ้าน ไม่เหมือนสังคมโรงเรียนเซนต์คาเบรียลที่เคยจบมา ทำให้ตัวเองเริ่มเห็นภาพว่าโลกเรามีช่องว่างทางสังคมเยอะ และเริ่มมีขบถทางความคิดก็ตอนนั้น ทำให้อยากลองอะไรที่ไม่เคยลอง ก็เลยเลือกเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษเพราะชอบความเก่าๆขลังๆของยุโรป แต่เลือกเรียนต่อด้านบริหารงานก่อสร้างแทน เพราะเริ่มต่อต้านความคิดแบบแท่งๆเหลี่ยมๆแบบวิศวกร หรือ เหตุผลที่ไม่มีเหตุผล โชคดีที่เป็นคนเรียนดีเลยได้ทุนเรียนต่อปริญญาเอกด้านบริหารงานออกแบบและอสังหาริมทรัพย์ ช่วงนั้นเลยได้ทำงานไปด้วย ตั้งแต่เด็กเสิร์ฟอาหาร เด็กบาร์โยกเบียร์ ล่ามในศาล (เพราะสนใจกฎหมาย ไม่ได้ตังค์ ทำเพราะช่วยคนไทยที่มีปัญหาทางภาษา) ขอทาน(ลองนอนข้างถนนเพราะสงสัยว่าคนไร้ที่อยู่เป็นยังไง ไม่มีเงินกินข้าวจริงหรือ แต่ทำไมเลี้ยงหมาตัวใหญ่ๆได้) ไปจนถึงผู้ช่วยวิจัยและเป็นอาจารย์มหาลัยในประเทศอังกฤษ (เพราะสงสัย ทำไมเด็กอังกฤษเก่งตรรกกะ แต่สู้วิชาการคนไทยไม่ได้)

ช่วงที่เรียนจบเป็นยุคฟองสบู่พอดี ธุรกิจอสังหาฯโดนผลกระทบหนัก วิศวกรและสถาปนิกไม่มีงานทำ เลยลองสวนกระแส ท้าทายตัวเอง คิดว่าถ้าไม่รอดก็เจ๊ง ซึ่งท้ายสุดก็รอดมาได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้มาถึงตรงนี้ได้ อาจเป็นเพราะการปรับตัวและก้าวไปพร้อมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ชีวิตต้องขยัน ตามที่ปู่ย่าตายายสอนแล้วทำตาม

ตอนนี้ยังเป็นคนลองผิดลองถูก และพยายามคิดเชื่อมต่อกับสาขาวิชาชีพอื่นหรืออุตสาหกรรมอื่นอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะล้ำหน้าเราไป อย่างคนเป็นสถาปนิกควรรู้อย่างอื่นในโลกด้วย คนเป็นวิศวกรก็ไม่ควรคิดว่าทำได้ทุกอย่างเสมอไป(เหมือนที่คณะชอบสอน) หรือนักการตลาดควรสวมวิญญาณนักคิด โดยผสมผสานความคิดของทุกวิชาชีพได้

ทุกวันนี้อยากเป็นครูและพยายามเป็นอยู่เสมอ เพราะรู้สึกดีที่เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนเก่งกว่าตัวเอง คิดว่าเป็นการเปิดโอกาสที่ดีที่ให้สังคม นอกจากนี้ยังชอบเขียนหนังสือ แนวการตลาดที่อ่านและเข้าใจง่ายให้คนไทยอ่าน

หากมีเวลาว่าง สมัยเด็กๆ กุลเดชชอบไปเขาใหญ่ เพราะรู้สึกสนุกที่ได้ลุย โบกรถ เดินป่า นอนเขา ขึ้นดอย แต่พออายุมากขึ้นก็เปลี่ยนมาขี่จักรยานแทน เที่ยวกับครอบครัว และทำกับข้าวให้ลูกๆ

หากเป็นเรื่องเพลงจะชอบหลายแนว เช่น เวลาเขียนหนังสือจะฟัง Vivaldi กับ Bach เพราะช่วยให้ความคิดลื่นไหล แต่หากรู้สึกเหนื่อย จะฟัง Carmen ของ Bizet เพราะมันมันให้รู้สึกว่าคนอื่นลำบากกว่าเรา เหนื่อยกว่าเรา และล่าสุดเริ่มมาชอบ B5 / 25 hours และ Getsunova เพราะทำให้เข้าถึงความรู้สึกคนอีกเจนเนอเรชั่นนึงซึ่งน่าสนใจมาก

ไม่มีของสะสม เพราะมองชีวิตไปข้างหน้า มองอดีตแต่ไม่ชอบเก็บ อดีตที่สนใจอย่างเดียวคือความทรงจำทุกอย่างที่มีเกี่ยวกับภรรยาและลูกๆ

Thai Post